วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ข้อควรรู้ทั่วไปในการใช้ยาสมุนไพร (6)


๖. การเทียบปริมาตรและปริมาณ

๑ กำมือ มีปริมาณเท่ากับสี่หยิบมือ หรือหมายความถึง ปริมาณของสมุนไพรที่ได้จากการใช้มือเพียงข้างเดียวกำโดยให้ปลายนิ้วจรดอุ้งมือโหย่ง ๆ

๑ กอบมือ มีปริมาณเท่ากับ สองฝ่ามือ หรือหมายความถึงปริมาณของสมุนไพรที่จากการใช้มือทั้งสองข้างกอบเข้าหากันให้ส่วนของปลายนิ้วแตะกัน

๑ ถ้วยแก้ว มีปริมาตรเท่ากับ ๒๕๐ มิลลิลิตร

๑ ถ้วยชา มีปริมาตรเท่ากับ ๗๕ มิลลิลิตร

๑ ช้อนโต๊ะ มีปริมาตรเท่ากับ ๑๕ มิลลิลิตร

๑ ช้อนคาว มีปริมาตรเท่ากับ ๘ มิลลิลิตร

                        ๑ ช้อนชา มีปริมาตรเท่ากับ ๕ มิลลิลิตร



ข้อควรรู้ทั่วไปในการใช้ยาสมุนไพร (5)


๕.  ความหมายของคำที่ควรทราบ

ใบเพสลาด หมายถึง ใบไม้ที่จวนแก่

ทั้งห้า หมายถึง ส่วนของ ราก ต้น ผล ใบ ดอก

เหล้า หมายถึง เหล้าโรง (28 ดีกรี)

แอลกอฮอล์ หมายถึง แอลกอฮอล์ชนิดสีขาวสำหรับผสมยา ห้ามใช้แอลกอฮอล์ชนิดจุดไฟ

น้ำปูนใส หมายถึง น้ำยาที่ทำขึ้นโดยการนำปูนที่รับประทานกับหมากมาละลายน้ำสะอาดตั้งทิ้งไว้ แล้วรินน้ำใสมาใช้

ต้มเอาน้ำดื่ม หมายถึง ต้มสมุนไพรด้วยการใส่น้ำพอประมาณ หรือสามเท่าของปริมาณที่ต้องการใช้ ต้มพอเดือดอ่อน ๆ ให้เหลือ ๑ ส่วนจาก ๓ ส่วนข้างต้น รินเอาน้ำดื่มตามขนาด

ชงน้ำดื่ม หมายถึง ใส่น้ำเดือดหรือน้ำร้อนจัดลงบนสมุนไพรที่อยู่ในภาชนะปิดฝา ทิ้งไว้สักครู่จึงใช้ดื่ม


ข้อควรรู้ทั่วไปในการใช้ยาสมุนไพร (4)


          ๔.  อาการแพ้ที่เกิดจากสมุนไพร

          สมุนไพรมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับยาทั่วไป คือทั้งมีคุณและโทษ บางคนใช้แล้วเกิดแพ้ได้ แต่เกิดขึ้นได้น้อยเพราะสมุนไพรมิใช่สารเคมีชนิดเดียวเช่นยาแผนปัจจุบัน ฤทธิ์จึงไม่รุนแรง (ยกเว้นพวกพืชพิษบางชนิด) แต่ถ้าเกิดอาการแพ้ขึ้นควรหยุดยาเสียก่อน ถ้าหยุดแล้วอาการหายไป อาจทดลองใช้ยาอีกครั้งโดยระมัดระวัง ถ้าอาการเช่นเดิมเกิดขึ้นอีก แสดงว่าเป็นพิษของยาสมุนไพรแน่ ควรหยุดยาและเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น หรือถ้าอาการแพ้รุนแรงควรไปรับการรักษาที่สถานีอนามัยและโรงพยาบาล

           อาการที่เกิดจากการแพ้ยาสมุนไพร มีดังนี้

                ๔.๑ ผื่นคันตามผิวหนัง อาจเป็นตุ่มเล็ก ๆ ตุ่มโต ๆ เป็นปื้น หรือเป็นเม็ดแบนคล้ายลมพิษ 
                        อาจบวมที่ตา (ตาปิด)  หรือริมฝีปาก (ปากเจ่อ) หรือมีเพียงดวงสีแดงที่ผิวหนัง

                ๔.๒ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน (หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง) ถ้ามีอยู่ก่อนกินยา อาจเป็น
                        เพราะโรค

                ๔.๓ หูอื้อ ตามัว ชาที่ลิ้น ชาที่ผิวหนัง

                ๔.๔ ประสาทความรู้สึกทำงานไวเกินปกติ เช่นเพียงแตะผิวหนังก็รู้สึกเจ็บ ลูบผมก็แสบ
                        หนังศรีษะ ฯลฯ

                ๔.๕ ใจสั่น ใจเต้น หรือรู้สึกวูบวาบคล้ายหัวใจจะหยุดเต้น และเป็นบ่อย ๆ

                            ๔.๖ ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเหลือง เขย่าเกิดฟองสีเหลือง (เป็นอาการของดี
                                    ซ่าน) อาการนี้แสดงถึงอันตรายร้ายแรง ต้องรีบไปหาแพทย์

ข้อควรรู้ทั่วไปในการใช้ยาสมุนไพร (3)


๓.      ข้อแนะนำในการใช้สมุนไพร

๓.๑ ใช้ให้ถูกต้น สมุนไพรมีชื่อพ้อง หรือซ้ำกันมากและบางท้องถิ่นก็เรียกไม่เหมือนกัน จึงต้องรู้จักสมุนไพร และใช้ให้ถูกต้น

๓.๒ ใช้ให้ถูกส่วน ต้นสมุนไพรไม่ว่าจะเป็นราก ใบ ดอก เปลือก ผล เมล็ด จะมีฤทธิ์ไม่เท่ากัน บางทีผลแก่ ผลอ่อนก็มีฤทธิ์ต่างกันด้วย จะต้องรู้ว่าส่วนใดใช้เป็นยาได้

๓.๓ ใช้ให้ถูกขนาด สมุนไพรถ้าใช้น้อยไป ก็รักษาไม่ได้ผล แต่ถ้ามากไปก็อาจเป็นอันตราย หรือเกิดพิษต่อร่างกายได้

๓.๔ ใช้ให้ถูกวิธี สมุนไพรบางชนิดต้องใช้สด บางชนิดต้องปนกับเหล้า บางชนิดใช้ต้มจะต้องรู้วิธีใช้ให้ถูกต้อง

๓.๕ ใช้ให้ถูกกับโรค เช่น ท้องผูกต้องใช้ยาระบาย ถ้าใช้ยาที่มีฤทธิ์ฝาดสมานจะทำให้ท้องผูกยิ่งขึ้น

                  นอกจากนั้น ยังต้องระมัดระวังในเรื่องความสะอาด ในการเก็บยา และเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำยาจะต้องสะอาดด้วย

ข้อควรรู้ทั่วไปในการใช้ยาสมุนไพร (2)


๒.      กลุ่มอาการ/โรคที่ไม่ควรใช้สมุนไพร

เป็นโรคร้ายแรง โรคเรื้อรัง หรือโรคที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่ารักษาด้วยสมุนไพรได้ เช่น งูพิษกัด สุนัขบ้ากัด บาดทะยัก กระดูกหัก มะเร็ง วัณโรค กามโรค ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคเรื้อน ดีซ่าน หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดบวม อาการบวม ไทฟอยด์ โรคตาทุกชนิด

ข้อควรรู้ทั่วไปในการใช้ยาสมุนไพร (1)


๑.      กลุ่มอาการ/โรคที่แนะนำให้ใช้สมุนไพร

ปัจจุบันการใช้สมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน ส่งเสริมและเผยแพร่การใช้สมุนไพรตัวเดี่ยวเพื่อรักษาโรค/อาการเบื้องต้นที่พบบ่อย ๆ และเนื่องจากสมุนไพรหลายชนิดเป็นพืชผักที่รับประทานอยู่เป็นประจำ จึงแนะนำไว้ในการส่งเสริมสุขภาพด้วย (รวมทั้งสีผสมอาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ)

กลุ่มโรค/อาการเบื้องต้นที่แนะนำให้ใช้สมุนไพรมี ๑๘ โรค/อาการ ดังนี้

ก.      อาการท้องผูก
ข.       อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด
ค.      อาการท้องเสีย (แบบไม่รุนแรง)
ง.       พยาธิลำไส้
จ.       บิด
ฉ.      อาการคลื่นไส้ อาเจียน (เหตุจากธาตุไม่ปกติ)
ช.       อาการไอ ขับเสมหะ
ซ.       อาการไข้
ฌ.     อาการขัดเบา (คือปัสสาวะไม่สะดวก กะปริบกะปรอยแต่ไม่มีอาการบวม)
ญ.    โรคกลาก
ฎ.      โรคเกลื้อน
ฏ.      อาการนอนไม่หลับ
ฐ.       ฝี แผลพุพอง (ภายนอก)
ฑ.     อาการเคล็ดขัดยอก (ภายนอก)
ฒ.    อาการแพ้ อักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย (ภายนอก)
ณ.    แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก (ภายนอก)
ด.      เหา
ต.      ชันนะตุ

หากเป็นโรค/อาการเหล่านี้ให้ใช้สมุนไพรที่แนะนำ และหยุดใช้เมื่ออาการหายไป ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน ๒ ๓ วัน ควรไปปรึกษาสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาล

ถ้าผู้ป่วยมีอาการโรค/อาการดังกล่าว แต่เป็นอาการที่รุนแรง ต้องนำผู้ป่วยส่งโรคพยาบาลทันที ไม่ควรรักษาด้วยการซื้อยารับประทานเอง หรือใช้สมุนไพร อาการที่รุนแรงมีดังนี้

๑.      ไข้สูง (ตัวร้อนจัด) ตาแดง ปวดเมื่อยมาก ซึม บางทีพูดเพ้อ (อาจเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือไข้ป่าชนิดขึ้นสมอง)

๒.      ไข้สูงและดีซ่าน (ตัวเหลือง) อ่อนเพลียมาก อาจเจ็บในแถวชายโครง (อาจเป็นโรคตับอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ ฯลฯ)

๓.      ปวดแถวสะดือ เวลาเอามือกดเจ็บปวดมากขึ้น หน้าท้องแข็ง อาจท้องผูกและมีไข้เล็กน้อย หรือมาก (อาจเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบอย่างแรง หรือลำไส้ส่วนอื่นอักเสบ)

๔.      เจ็บแปลบในท้องคล้ายมีอะไรฉีกขาด ปวดท้องรุนแรงมาก อาจมีตัวร้อนและมีคลื่นไส้อาเจียนด้วย บางทีมีประวัติปวดท้องบ่อย ๆ มาก่อน (อาจมีการทะลุของกระเพาะอาหารหรือลำไส้)

๕.      อาเจียนเป็นโลหิตหรือไอเป็นโลหิต (อาจเป็นโรคร้ายแรงของกระเพาะอาหารหรือปอด) ต้องให้คนไข้นอนพักนิ่ง ๆ ก่อน ถ้าแพทย์อยู่ใกล้ควรเชิญมาตรวจที่บ้าน ถ้าจำเป็นต้องพาไปหาแพทย์ ควรรอให้เลือดหยุดเสียก่อน และควรพาไปโดยมีการกระเทือนกระแทกน้อยที่สุด

๖.      ท้องเดินอย่างแรง อุจจาระเป็นน้ำ บางทีมีลักษณะคล้ายน้ำซาวข้าว บางทีถ่ายพุ่ง ถ่ายติดต่อกันอย่างรวดเร็ว คนไข้อ่อนเพลียมาก ตาลึก หนังแห้ง (อาจเป็นอหิวาตกโรค) ต้องพาไปหาแพทย์โดยด่วน ถ้าไปไม่ไหวต้องแจ้งแพทย์หรืออนามัยที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว

๗.      ถ่ายอุจจาระเป็นมูกและเลือด บางทีเกือบไม่มีเนื้ออุจจาระเลย ถ่ายบ่อยมาก อาจจะตั้งสิบครั้งในหนึ่งชั่วโมง คนไข้เพลียมาก (อาจเป็นโรคบิดอย่างรุนแรง)

๘.      สำหรับเด็ก โดยเฉพาะอายุภายในสิบสองปี ไข้สูง ไอมาก หายใจมีเสียงผิดปกติคล้าย ๆ กับมีอะไรติดอยู่ในคอ บางทีมีอาการหน้าเขียวด้วย (อาจเป็นโรคคอตีบ) ต้องรีบพาไปหาแพทย์โดยด่วนที่สุด

๙.      อาการตกเลือดเป็นเลือดสด ๆ จากทางไหนก็ตาม โดยเฉพาะทางช่องคลอด ต้องพาไปหาแพทย์โดยเร็วที่สุด


วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการเตรียมยาสมุนไพร (ยาดองเหล้า)


ยาดองเหล้า

ยาดองเหล้าเป็นยาที่เตรียมขึ้นเพราะเหตุว่า สาระสำคัญในสมุนไพรนั้นจะละลายได้ดีในเหล้าหรือแอลกอฮอล์

ยาดองเหล้ามีวิธีการเตรียมดังนี้

๑.      นำเอายาที่ล้างสะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากหรืออบจนแห้ง (โดยปกติจะมีน้ำไม่เกิน ๕ %) ใส่ลงในขวดโหลหรือไห เทน้ำเหล้าลงพอท่วมยา คนยาวันละหนึ่งครั้ง ทิ้งไว้หนึ่งเดือนจึงใช้ได้

๒.      บางครั้งใช้วิธีการดองแบบร้อน การดองแบบร้อนทำให้ยาใช้ได้เร็ว (ปกติการดองเหล้าต้องทิ้งไว้นาน ส่วนการดองเหล้าแบบร้อนใช้เวลา ๑๒ สัปดาห์ก็ใช้ได้) ทำได้โดยเทน้ำเหล้าใส่ตัวยาที่ต้องการดองพอท่วมยา นำภาชนะที่ใส่ยาดองเหล้า (ส่วนใหญ่ใช้ขวด) วางลงในหม้อที่ใส่น้ำไว้ ต้มน้ำให้เดือด แล้วเอาภาชนะที่ใส่ยาดองเหล้าขึ้น ปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ ๑ ๒ สัปดาห์นำมาใช้ได้ หรืออาจใช้วิธีเตรียมแล้วนำไปตากแดดก็ได้ ในช่วงตากแดดคนยาวันละครั้ง จนกว่าจะครบเวลาดอง นำมาใช้ได้

๓.      วิธีการที่แนะนำข้างต้นเป็นการเตรียมยาดองเหล้าไว้รับประทาน รูปแบบยาอีกชนิดหนึ่งคือยาพอก เป็นการใช้น้ำเหล้าเป็นน้ำกระสายยา โดยเอาสมุนไพรสดตำให้ละเอียด และเติมน้ำเหล้าเพื่อให้ยามีฤทธิ์ดีขึ้นจากนั้นจึงนำยาที่ได้ไปพอกตามอวัยวะที่ต้องการ

หมายเหตุ ยาดองเหล้าห้ามใช้กับผู้ป่วยที่ความดันโลหิตสูง หญิงมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจและผู้ป่วยที่แพ้เหล้า